โรงงานกระดาษลดการใช้น้ำได้ถึง 50%ด้วยหัวล้างถังอัตโนมัติของเรา

Pavinee Hass
8 พ.ค.
ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 13 พ.ค.

ปัญหา: วิธีทำความสะอาดเฮดบ็อกซ์ที่เชื่อถือได้และคุ้มค่า

โรงงานผลิตกระดาษแห่งหนึ่งที่ใช้น้ำในกระบวนการผลิต ต้องเสียเวลาไปมากกับการตรวจสอบหัวฉีดน้ำในเฮดบ็อกซ์ เนื่องจากทรายในน้ำทำให้หัวฉีดอุดตัน หัวฉีดที่อุดตันอาจก่อให้เกิดข้อบกพร่องในกระดาษ หรือในกรณีที่แย่กว่านั้นคือการฉีกขาดของกระดาษระหว่างการผลิต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ โรงงานจึงต้องตรวจสอบเฮดบ็อกซ์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยให้พนักงานสวมสายรัดนิรภัยเพื่อลงไปตรวจสอบสภาพหัวฉีดภายใน

ทางแก้ไข:

แนวทางของเราเรียบง่ายและสามารถนำไปใช้ได้ทันที — และยังช่วยลดความถี่ในการตรวจสอบหัวฉีดได้อีกด้วย ขั้นตอนแรกคือการประเมินประสิทธิภาพการทำความสะอาดและปริมาณการใช้น้ำ เราพบว่าหัวฉีดที่ใช้อยู่มีอัตราการไหลของน้ำสูงเกินความจำเป็นสำหรับการทำความสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถทำความสะอาดได้ในระดับเดียวกันโดยใช้น้ำเพียง 50% ของปริมาณเดิม

จากนั้นเราจึงจัดการกับปัญหาหัวฉีดอุดตัน แทนที่จะใช้หัวฉีดแบบหมุนที่มีเฟืองกลไก เราแนะนำให้ใช้หัวฉีดแบบอยู่กับที่รุ่น 6353 ของเรา ซึ่งไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว หัวฉีดรุ่นนี้สามารถกระจายน้ำได้รอบทิศทาง 360° และมีช่องเปิดขนาดใหญ่ ทำให้น้ำที่มีทรายสามารถไหลผ่านได้โดยไม่เสี่ยงต่อการอุดตัน ปัจจุบัน หัวฉีดเหล่านี้ต้องตรวจสอบเพียงเดือนละครั้ง แทนที่จะเป็นสัปดาห์ละสามครั้ง

นอกจากนี้ หัวฉีดรุ่นใหม่นี้สามารถติดตั้งในตำแหน่งเดิมได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือปรับปรุงโครงสร้างของเฮดบ็อกซ์แต่อย่างใด ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบอีกด้วย

ผลลัพธ์:

การเปลี่ยนมาใช้หัวฉีดแบบอยู่กับที่รุ่น 6353 ไม่เพียงแค่ลดความถี่ในการตรวจสอบเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ในหลายด้านเพิ่มเติมอีกด้วย

อัตราการไหลของน้ำที่ลดลง 50% ช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 5.2 ล้านแกลลอนต่อปี สำหรับการทำความสะอาดเฮดบ็อกซ์
ความถี่ในการตรวจสอบและบำรุงรักษาหัวฉีดลดลงจาก 150 ครั้งต่อปี เหลือเพียง 12 ครั้งต่อปี
การใช้น้ำน้อยลงในเฮดบ็อกซ์ ช่วยลดพลังงานที่ต้องใช้ในการอบแห้งกระดาษ และลดปริมาณน้ำเสียที่ต้องบำบัด
ข้อบกพร่องของกระดาษลดลง เนื่องจากหัวฉีดไม่อุดตัน ส่งผลให้ของเสียและเศษกระดาษลดลง
อายุการใช้งานของหัวฉีดเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
โรงงานสามารถคืนทุนจากการลงทุนในหัวฉีดรุ่นใหม่ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 50,000 ดอลลาร์ต่อปี ทั้งในด้านค่าน้ำและค่าแรง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การปรับเปลี่ยนนี้ช่วย เพิ่มความปลอดภัยของพนักงาน และทำให้โรงงานสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น